bookmark_borderพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ และช่วยลดน้ำหนักได้ด้วยนะ 

เพื่อนๆและสาวๆ หลายคนเลยใช่มั้ยละ พฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ ที่พยายามจะลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนแต่ว่าไม่รู้ว่าตัวเองมีพฟติกรรมบางอย่างที่ส่งผลให้เราอ้วนได้ไม่รู้ตัว ดังนั้นวันนี้เราเลยเอามาบอกว่าพฤติดกรรมอะไรที่ดีต่อสุขภาพและการลดน้ำหนักกันละ ไปดูกันนน

-กินอาหารที่มีประโยชน์ก่อน

เพื่อนๆ และสาวๆ หลายคนเวลาไปกินข้าวข้างนอกบ้านหรือไม่สะดวกทำอาหารเองต้องเข้าร้าน ไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ สิ่งที่จะช่วยเพื่อนๆ และสาวๆ ให้ไม่หุ่นพังง่าย นั้นก็คือ การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ก่อนเพราะว่าการที่เพื่อนๆและสาวๆเลือกกินอาหารทื่มีประโยชน์ก่อนจะทำให้ร่างกายอิ่มเร็วขึ้น และกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ได้น้อยลงด้วยนะ 

-ดื่มน้ำเปล่าก่อนกินอาหารมื้อหลักสิ

เพื่อนๆ และสาวๆที่อยากจะมีหุ่นดี หรือ ลดความอ้วนได้ แนะนำว่าให้เพื่อนๆ ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ ต่อวัน เพราะบางครั้งร่างกายเราไม่ได้หิวอาหารนะ แค่หิวน้ำเท่านั้นและทริคสำคัญก็คือ เพื่อนๆและสาวๆ ควรจะดื่มน้ำเปล่าก่อนมื้อหลักสัก 1 แก้งก่อนกินอาหารนะ มันจะช่วยทำให้เพื่อนๆอิ่มเร็วขึ้น

-เอาขนมหรือของที่ไม่ดีต่อสุขภาพออกจากรอบตัว

เพื่อนๆและสาวๆ หลายๆคนเลยที่อยากผอม แต่รอบๆ ตัวนี่มีแต่ ขนม ของหวาน ต่างๆ เต็มไปหมด แล้วใกล้มือขนาดนี้ใครจะไปอดใจได้ละ แนะนำว่าเพือ่นๆ และสาวๆ ควรจะเอาที่ไม่ดีต่อสุขภาพอกห่างตัวโดยด่วนๆ และเอาของดีต่อสุขภาพมาใกล้ๆตัวดีกว่านะ อย่างน้อยถ้าเผลอก็หยิบของมีประโยชน์กิน แต่อย่ากินเยอะเกินความต้องการของร่างกายละ 

-เดินให้เยอะ หรือ เคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ 

เพือ่นและสาวๆ เชื่อหรือไม่ ว่าการที่เราเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ จะช่วยทำให้กระตุ้นระบบเผาผลาญได้ดีด้วยนะ หรือหากเป็นไปได้ก็เดินเยอะๆ ก็ดีนะ เพราะว่าการที่เราเดินเยอะๆ จะทำให้เรานั้นได้ใช้พลังงานแคลอรี่ที่กินไปและหากทำบ่อยๆ ก็สามารถช่วยลดความอ้วนได้ด้วยนะ

-ชอบกินของคาวและกินของหวาน อย่าทำเลยนะ

เพื่อนๆและสาวๆ คนไหนที่ติดการกินของคาวและต้องต่อด้วยของหวาน ต้องรีบเปลี่ยนพฤติกรรมนี่เลยนะ เพราะว่าหากเพื่อนๆ และสาวๆ ทำแบบนี้ทุกๆมื้อละก็ รับรองน้ำหนักพุ่งแน่ๆ ด้งนั้นหากเพื่อนๆ และสาวๆ กินของคาว และอยากของหวานจริงๆ ให้เลือกกินเป็นผลไม้หวานน้อยดีกว่า แต่ก็อย่ากินบ่อยๆนะเพื่อนๆและ    หูตึงรักษาหายไหม    สาวๆ เห็นแล้วมั้ยละ ว่าหากเราเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างสามารถทำให้เราผอมหรือลดความอ้วนได้เลยนะ 

bookmark_borderท่าโยคะสำหรับผู้สูงอายุ 

สำหรับผู้สูงอายุแล้ว การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะปกติแล้วผู้สูงอายุส่วนใหญ่ค่อนข้างที่จะมีสุขภาพร่างกายที่ไม่ค่อยจะแข็งแรง

เนื่องจากว่าร่างกายไม่ค่อยได้เคลื่อน ไม่ค่อยได้รับการออกกำลังกาย รวมไปถึงในส่วนของกระดูกไม่ค่อยได้ใช้งาน จนส่งผลให้ร่างกายนั้นไม่แข็งแรง ซึ่งรู้หรือไม่ว่า หารออกกำลังกานสำหรับผู้สูงอายุนั้น มีความสำคัญต่อร่างกายมากขนาดไหน เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ รวมไปถึงข้อต่อต่างๆ

ภายในร่างกาย รกะดูกที่ดีอีกด้วย ต้องบอกก่อนว่ายิ่งเราอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของเราก็จะยิ่งเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้สูงอายุที่อยากเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกาย ด้วยการออกกำลังกาย

แต่ก็ไม่รู้ว่าจะออกกำลังกายในรูปแบบไหนดีเพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายตามความเหมาะสม ดังนั้น วันนี้เราก็จะมาแนะนำการออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะ ที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ที่ไม่ต้องใช้แรงเยอะ แถมยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงได้ทั่วทุกส่วนอีกด้วย จะมีท่าโยคะไหนบ้างที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไปดูกันเลย 

ท่าต้นไม้ โดยในส่วนของท่านี้นั้น จะสามารถช่วยในการยืดเส้นสาย หรือยืดกล้ามเนื้อของเราให้มีความแข็งแรงได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการลดอาการปวดบริเวณฝ่าเท้า รวมไปถึงแก้อาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ดังนั้น ขอบอกเลยว่า สำหรับผู้สูงอายุคนไหนที่มีอาการปวดบริเวณฝ่าเท้า หรือบริเวณหลังบ่อย ๆ การเล่นโยคะท่านี้บ่อย ๆ จะช่วยคุณได้อย่างแน่นอน และยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 

ท่านักรบ 1 เรียกได้ว่าเป็นท่าโยคะที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก เพราะท่านี้เรียกได้ว่าเป็นท่าที่ทรงพลังมากๆ เพราะสามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะบริเวณหัวไหล่ แขน ต้นขา รวมไปถึงกล้ามเนื้อหลังอีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการปรับความสมดุลในร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการตรึงเครียดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ดังนั้น ขอบอกเลยว่าการเล่นโยคะท่านี้เป็นประจำจะต้องมีสุขภาพร่างกายที่ดีอย่างแน่นอน 

ท่ายืดเหนือศีรษะ ท่านี้จะเป็นท่าเบสิค หรือท่าง่ายๆที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ แต่รู้หรือไม่ว่าถึงแม้ท่านี้จะดูเป็นท่าธรรมดาทั่วไป แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมากเลยก็ว่าได้ เพราะสามารถช่วยลดอาการตึงของกล้ามเนื้อบริเวณหลังได้เป็นอย่างดี และเหมาะมาก ๆ สำหรับผู้ที่สุขภาพร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรง ขอบอกเลยว่าหากเล่นโยคะท่านี้เป็นประจำ จะยิ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อ

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล

bookmark_borderความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการเลือกรับประทานอาหาร

อย่างที่เราทราบกันดีง่า การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์นั้น ก็ยามส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเรา

การเลือกรับประทานอาหาร เพราะอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรงได้ และที่สำคัญเลยก็คือ จะยิ่งช่วยให้ร่างกายของเรานั้นได้รับสารอาหารที่เพียงพอ แต่รู้หรือไม่ว่าในสมัยปัจจุบันนี้ หลายคนเริ่มหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพร่างกายกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพร่างกาย

แต่ทว่า ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการเลือกรับประทานอาหาร หรือคิดว่าการรับประทานอาหารแบบนี้อาจถูกต้องที่สุดแล้ว แต่ในอีกมุมมองหนึ่งก็ยังมีคนที่อาจยังไมรู้ และยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับการเลือกรับประทานอาหาร ดังนั้น วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับความเชื่อผิด ๆเกี่ยวกับการเลือกรับประทานอาหารที่หลาย ๆ คนยังคงมีความสงสัยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จะมีอะไรกันบ้างนั้นไปดูกันเลย 

คนท้องควรดื่มน้ำมะพร้าว หลายคนยังมีความเชื่อที่ว่าคนท้องควรดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำ น้ำมะพร้าวนั้นดีต่อคนท้องเป็นอย่างมาก ยิ่งดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำเวลาคลอดมาลูกจะได้มีมีไขติดออกมา แต่รู้หรือไม่ว่า โดยปกติแล้วธรรมชาติของการคลอดเด็กทารกนั้นก็จะต้องมีไขเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ความเชื่อนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร    เครื่องช่วยฟังแบบชาร์จหรือใส่ถ่านดีกว่า   แต่เนื่องด้วยว่าการที่คนท้องดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำนั้น ควรเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะเนื่องจากว่าน้ำมะพร้าวนั้นจะมีปริมาณน้ำตาลที่สูงมากๆ ถึงแม้จะเป็นน้ำตาลที่ได้จากธรรมชาติก็ตาม แต่ก็อาจส่งผลให้คนท้องนั้นเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวนได้ง่ายนั่นเอง 

ดื่มน้ำผลไม้ 100% ช่วยล้างสารพิษได้ดี ก็จริงอยู่ที่ว่าน้ำผลไม้แท้ 100 % นั้นดีต่อสุขภาพร่างกายของเรา ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มีความเชื่อว่าการดื่มน้ำผลไม้แท้ 100 % จะช่วยล้างสารพิษได้ดีกว่าการทานผลไม้แบบสดๆ แต่รู้หรือไม่ว่าในผลไม้สดนั้นจะมีกากใยอาหารทีสูงมาก ๆ ซึ่งมีส่วนที่สามารถช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี แต่น้ำผลไม้แบบกล่องอาจมีการผ่านกระบวนการระเหยมาแล้ว จึงทำให้สูญเสียสารอาหารที่มีอยู่ในผลไม้ไป และแน่นอนว่าผลไม้ที่ผ่านกระบวนการมากมายมานับครั้งไม่ถ้วน จะมีประโยชน์มากกว่าผลไม้สด ๆ ได้อย่างไรกัน 

เลือกทานผักสดดีกว่าผักปรุงสุก อย่างที่ใครหลายคนทราบว่า การเลือกรับประทานผักสดๆ จะยิ่งส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่าผักนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเราเป็นอย่างมาก แต่รู้หรือไม่ว่า ผักสดกับผักปรุงสุกนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร หลายคนเชื่อว่าผักสดดีต่อสุขภาพร่างกาย แต่ทว่าผักบางชนิดในสมัยนี้เมื่อนำไปปรุงสุกแล้วก็อาจให้คุณค่าทางสารอาหารได้ดีกว่าผักสด ๆ ก็ได้ ดังนั้น ทางที่ดีเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี ควรเลือกให้ดีว่าผักที่เราเลือกทานนั้นควรที่จะทานแบบปรุงสุก หรือทานแบบสด ๆ จะดีกว่ากัน 

bookmark_borderโรคอ้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพสมองและชีวิต

ใครก็ตามที่น้ำหนักเกินไปสักสองสามปอนด์รู้ว่าพวกเขาสามารถทำให้คุณช้าลงได้ เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าปอนด์เหล่านั้นกลายเป็นโรคอ้วน พวกมันอาจทำอันตรายร้ายแรง ทำให้คุณเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยมากมาย แต่น้ำหนักที่มากเกินไปในร่างกายก็สามารถทำร้ายสมองได้เช่นกัน

การวิจัยแสดงให้เห็นว่าโรคอ้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพสมองตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่

โรคอ้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่งผลกระทบต่อทุกอย่างตั้งแต่ทักษะการทำงานของผู้บริหาร ความสามารถที่ซับซ้อนในการเริ่มต้น วางแผน และดำเนินงาน ไปจนถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมอย่างมาก เมื่อถึงวัยกลางคน ผลที่ตามมาของน้ำหนักเกินจะมีจำนวนมาก การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ใหญ่วัยกลางคนที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) ที่หรือสูงกว่า 30 ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นโรคอ้วน มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าเพื่อนที่มีน้ำหนักตัวปกติ

กระนั้น นักวิจัยยังคงล้อเลียนว่าทำไมและทำไมน้ำหนักที่เกินมาทำร้ายสมอง และความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมจะเพิ่มขึ้นตลอดชีวิตหรือไม่ หรือโรคอ้วนส่งผลต่อร่างกายในช่วงต่างๆ ของชีวิตที่แตกต่างกันหรือไม่ อเล็กซิส วูด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านโภชนาการในเด็กที่ศูนย์วิจัยโภชนาการสำหรับเด็กที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์เบย์เลอร์ในฮูสตัน กล่าวว่า ความท้าทายด้านความรู้ความเข้าใจอาจมาก่อนได้ ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่ไม่ดีตั้งแต่เด็ก ศูนย์ดำเนินการร่วมกับบริการวิจัยการเกษตรของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา

มีหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนและเป็นรูปเป็นร่างซึ่งครอบคลุมทั้งวัยเด็ก ตั้งแต่วัยเตาะแตะไปจนถึงวัยรุ่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถานะน้ำหนักที่สูงขึ้นนั้นสัมพันธ์กับการทำงานของความรู้ความเข้าใจที่ต่ำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านหน้าที่ของผู้บริหาร ทำไมถึงเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมาก

ด้วยโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกาเรื่องนี้จึงเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างมาก จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค พบว่าผู้ใหญ่มากกว่า 42% มีคุณสมบัติเป็นโรคอ้วนในปี 2561 และเกือบ 45% มีอายุ 40-59 ปี ในหมู่เด็กและวัยรุ่น อัตราโรคอ้วนเพิ่มขึ้นตามอายุ มากกว่า 13% ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี; 20% ของเด็กอายุ 6-11 ปี และ 21% ของเด็กอายุ 12 ถึง 19 ปี

และการระบาดใหญ่ไม่ได้ช่วยชะลอสถิติเหล่านั้น CDC กล่าวในเดือนกันยายน 2564 ว่าอัตราที่ดัชนีมวลกายเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่าในช่วงการระบาดใหญ่เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า การกระโดดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในเด็กอายุ 6-11 ปีและในเด็กที่มีน้ำหนักเกินก่อนเกิดโรคระบาด

การศึกษาบางชิ้นติดตามจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างอาหาร น้ำหนัก และสุขภาพสมองตลอดจนถึงมดลูก ในวัยหัดเดิน มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างน้ำหนักเกินกับความสามารถของเด็กในการควบคุมและควบคุมพฤติกรรม รวมข้อมูลใหม่ วางแผน; และแก้ปัญหาต่างๆ ได้ วู้ดกล่าว มันไม่ชัดเจนว่าอันไหนมาก่อน

 

สนับสนุนเน้ือหาโดย    เครื่องช่วยฟัง

bookmark_borderกลยุทธ์ที่ดีกว่าในการป้องกันการพัฒนาของโรค

มีความจำเป็นเร่งด่วนในการหากลยุทธ์ที่ดีกว่าในการป้องกันการพัฒนาของโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุหรืออย่างน้อยก็เพื่อชะลออัตราการสูงวัยและการพึ่งพาอาศัยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและลดภาระทางสังคมและการแพทย์ ค่าใช้จ่าย มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยนวิธีการจัดการโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับอายุในปัจจุบันจากระบบที่เน้นการรักษาความผิดปกติที่ติดตั้งไว้แล้วไปเป็นระบบที่เน้นการดูแลป้องกันและบูรณาการ

สาเหตุหลักของความทุพพลภาพและการเสียชีวิตในหลายภูมิภาคของโลก ได้แก่ โรคไม่ติดต่อ เช่น โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ความเครียด และความวิตกกังวล

การป้องกันการพัฒนาของโรค ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ซึ่งเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมทั้งอาหารที่มีแคลอรี่สูง การไม่ออกกำลังกายด้วย เป็นนิสัยการสูบบุหรี่และการดื่ม ดังนั้นการระบุบุคคลที่มีความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมจะมีผลกระทบต่อการเจ็บป่วยและการตายก่อนวัยอันควรทั่วโลก  ตลอดจนการดำรงชีวิตยืนยาวด้วยความเป็นอิสระในการทำงานและการสูงวัยอย่างมีสุขภาพดี 

ยาอายุวัฒนะได้นำมุมมองด้านสุขภาพแบบองค์รวมและเชิงรุกมาใช้เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังด้วยการประเมินพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพแบบบูรณาการรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมโรคและที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทั่วไปและความเป็นอยู่ที่ดี (12) ในปัจจุบัน การดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ การตั้งค่าระบบการดูแลสุขภาพหลักเพื่อเริ่มจัดการกับพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่เพียงพอเนื่องจากข้อจำกัดหลายประการ: ประการแรกคือ มีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อผู้ป่วยไปพบแพทย์พร้อมคำร้องเรียน

ประการที่สองคือความจริงที่ว่าแพทย์ไม่ได้รับการฝึกฝนด้านเวชศาสตร์การดำเนินชีวิต ประการที่สามคือการไม่มีเวลาทั้งของผู้ป่วยและแพทย์ และประการที่สี่เป็นปัญหาในการจัดการปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างพร้อมกัน 

ในบริบทนี้ จำเป็นต้องมีแบบจำลอง โครงการ และแนวทางที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีและการสูงวัยอย่างกระฉับกระเฉง เนื่องจากสิ่งเหล่านี้สามารถเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจที่ยั่งยืนด้านสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากการสูงวัยของประชากร เช่น ได้รับการสนับสนุนจาก European Innovation Partnership on Active and Healthy Aging (EIP on AHA) (15) สถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งยุโรป (EIT) ได้สร้างชุมชนความรู้และนวัตกรรม (KIC) ซึ่งเป็น EIT Health

ซึ่งอุทิศตนเพื่อจัดการกับความท้าทายด้านประชากรศาสตร์ที่เกิดจากประชากรสูงอายุ EIT Health ขับเคลื่อนการสร้างธุรกิจโดยการกระตุ้นการเป็นผู้ประกอบการและโดยการให้ทุนสนับสนุนความคิดริเริ่มเชิงนวัตกรรมที่จะมีส่วนร่วม เพิ่มขีดความสามารถ และให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี HeaLIQs4Cities เป็นโครงการความร่วมมือของ EIT Health ซึ่งประกอบด้วย University Medical Center Groningen (UMCG) ในเนเธอร์แลนด์ University of Coimbra (UC) และ Instituto Pedro Nunes (IPN) ในโปรตุเกส เป้าหมายหลักของ HeaLIQs4Cities คือการเข้าร่วมนักแสดงที่มีไลฟ์สไตล์ที่มีสุขภาพดีซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ EIP บน AHA quadruple helix

ซึ่งช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างพลเมือง สถาบันการศึกษาในท้องถิ่น  เครื่องช่วยฟังที่เสียงรบกวนน้อยที่สุด      วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และรัฐบาลที่ Lifestyle Innovation Quarters (LIQs) (16) ). ควบคู่ไปกับการพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่ใช้กับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ภารกิจหลักของ HeaLIQs4Cities คือการพัฒนาชุดเครื่องมือสำหรับการประเมินวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีอย่างรวดเร็วและไม่เป็นทางการ เพื่อนำไปรวมเข้ากับการดูแลสุขภาพในระดับต่างๆ รายงานก่อนหน้านี้แนะนำว่าเครื่องมือประเภทนี้อาจเป็นประโยชน์ในการประเมินพฤติกรรมและวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและเสริมแนวทางปัจจุบันด้วยรูปแบบการดูแลใหม่ 

ชุดเครื่องมือของเราได้รับการติดตั้งเครื่องมือที่ผ่านการตรวจสอบแล้วและเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และรวมถึงส่วนประกอบที่มุ่งเน้นไปที่ปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่แก้ไขได้ มิติทางจิตวิทยาและสังคม สุขภาพจิต และคุณภาพการนอนหลับ ในรายงานนี้ เราอธิบายวิธีการที่ใช้ในการพัฒนาชุดเครื่องมือการประเมินวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี

bookmark_borderทำไมกล้ามเนื้อของฉันถึงปวดหลังออกกำลังกาย

เป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อหลังจากออกกำลังกาย หากไม่ได้เคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวมาระยะหนึ่งแล้ว อาการปวดประเภทนี้ – เรียกว่าอาการปวดกล้ามเนื้อที่เริ่มมีอาการล่าช้าหรือ DOMS  โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นหลายชั่วโมงต่อมาและรุนแรงขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า การออกกำลังกายที่กระตุ้นให้เกิด DOMS

ทำไมกล้ามเนื้อของฉันถึงปวดหลัง ประกอบด้วยการหดตัวของกล้ามเนื้อผิดปกติ (ทำให้ยาวขึ้น) ซึ่งกล้ามเนื้อหดตัวจะยาวขึ้น การเดินลงบันไดหรือทางลาดที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าจะยาวขึ้นเมื่อรองรับน้ำหนักตัว เป็นตัวอย่างหนึ่งของการออกกำลังกายที่ผิดปกติ

อีกวิธีหนึ่งคือการใช้ตุ้มน้ำหนัก เช่น ดัมเบลล์ เมื่อลดของหนักอย่างช้าๆ จากการงอข้อศอกไปยังตำแหน่งที่ยืดออก กล้ามเนื้อที่จะงอข้อต่อข้อศอกจะทำการออกกำลังกายนอกรีต เนื่องจากน้ำหนักภายนอก (ดัมเบล) นั้นมากกว่าแรงที่เกิดจากกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายที่ประกอบด้วยการหดตัวแบบศูนย์กลาง (ย่อ) เป็นหลัก โดยที่กล้ามเนื้อหดตัวและสั้นลง เช่น การเดินขึ้นบันไดและการยกดัมเบลล์ จะไม่ทำให้เกิด DOMS เลย ในทางเทคนิคถือว่า DOMS เป็นตัวบ่งชี้ “ความเสียหายของกล้ามเนื้อ” เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อลดลง

และในบางกรณี โปรตีนจำเพาะของกล้ามเนื้อจะเพิ่มขึ้นในเลือด ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสียหายของเมมเบรนในพลาสมา แต่ปรากฏว่ามีเส้นใยกล้ามเนื้อน้อยมากที่ได้รับบาดเจ็บหรือถูกทำลาย (น้อยกว่า 1% ของเส้นใยกล้ามเนื้อทั้งหมด)

สิ่งที่น่าสนใจคือ โครงสร้างอื่นๆ เช่น พังผืด (เปลือกของเนื้อเยื่อรอบ ๆ กล้ามเนื้อ) และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันภายในกล้ามเนื้อ ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากการหดตัวผิดปกติมากกว่า การศึกษาที่เพื่อนร่วมงานของฉันและฉันเพิ่งตีพิมพ์ได้ทดสอบสมมติฐานที่ว่าพังผืดจะมีความไวมากกว่ากล้ามเนื้อเมื่อมีการชักนำ DOMS เราตรวจสอบกล้ามเนื้อของผู้ออกกำลังกายนอกรีตที่เป็นอาสาสมัครด้วยเข็มฝังเข็มที่ออกแบบมาเพื่อแนะนำกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปลายเข็ม จนกว่าพวกเขาจะรายงานอาการปวดกล้ามเนื้อ

ผลการศึกษาพบว่า DOMS สัมพันธ์กับความไวที่เพิ่มขึ้นของพังผืดของกล้ามเนื้อต่อสิ่งเร้า ซึ่งบ่งชี้ว่าสาเหตุของความเจ็บปวดคือพังผืด (เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน) แทนที่จะเป็นเส้นใยของกล้ามเนื้อเอง เรายังไม่ทราบว่าการหดตัวนอกรีตส่งผลต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพันรอบเส้นใยกล้ามเนื้ออย่างไร เป็นไปได้ว่าพวกเขามีความยืดหยุ่นในระดับต่างๆ ดังนั้น เมื่อกล้ามเนื้อหดตัว แรงเฉือนอาจเกิดขึ้นระหว่างเส้นใยของกล้ามเนื้อกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพันโดยรอบ ซึ่งอาจทำให้โครงสร้างเสียหายและทำให้เกิดการอักเสบได้

ยังคงเป็นปริศนาว่าทำไมการออกกำลังกายกับอาการปวดกล้ามเนื้อจึงมีความล่าช้า นักวิจัยคาดการณ์ว่าเป็นเพราะระยะเวลาที่การอักเสบจะเกิดขึ้นหลังการบาดเจ็บระดับจุลภาค ไม่ปรากฏว่า DOMS เป็นสัญญาณเตือนไม่ให้ขยับกล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากการขยับกล้ามเนื้อช่วยบรรเทาอาการปวดและไม่ขัดขวางการฟื้นตัว อาจเป็นไปได้ว่า DOMS เป็นข้อความธรรมดาจากร่างกายที่กล้ามเนื้อขาดแรงกระตุ้นที่ดีชั่วขณะหนึ่งซึ่งได้รับ

แต่จำเป็นสำหรับการพัฒนากล้ามเนื้อให้ใหญ่และแข็งแรงขึ้นหรือไม่ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนทฤษฎีที่ว่า การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการฝึกออกกำลังกายแบบนอกรีตช่วยเพิ่มความแข็งแรงและขนาดของกล้ามเนื้อมากขึ้นเมื่อเทียบกับการฝึกออกกำลังกายแบบรวมศูนย์ แต่ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับ “ความเสียหายของกล้ามเนื้อ” อย่ากลัว DOMS แม้ว่ามันอาจจะรบกวนคุณเป็นเวลาหลายวันหลังออกกำลังกาย DOMS ลดลงเมื่อออกกำลังกายผิดปกติแบบเดิมซ้ำๆ หากความเข้มข้นและปริมาตรของการออกกำลังกายแบบนอกรีตค่อยๆ เพิ่มขึ้น คุณสามารถย่อ DOMS ให้น้อยที่สุดได้ ในระหว่างนี้ ให้คิดว่า DOMS เป็นสัญญาณที่มีประโยชน์จากร่างกายของคุณ

 

สนับสนุนโดย  เครื่องช่วยฟังที่เสียงรบกวนน้อยที่สุด

bookmark_borderการเยียวยาสำหรับผมร่วงสามารถทำได้ที่บ้าน

ปัญหาผมร่วงนั้นเป็นปัญหาที่กวนใจหลายคนมาก ไม่เพียงแต่คนในช่วงที่มีอายุเท่านั้น แต่อาการผมร่วงนั้นยังสามารถเกิดขึ้นได้คนในช่วงอายุน้อยด้วย ทำให้หลายคนนั้นเสียความมั่นใจและต้องการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ซึ่งผมร่วงนั้นสามารถแก้ไขได้ แต่จะต้องใช้เวลาในการรักษาและบำรุงอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้ผมร่วงเหล่านี้ลดลงได้ เราสามารถลองใช้สมุนไพรที่บ้านสักสองสามชนิดเพื่อย้อนกลับผลเมื่อเรารู้ว่าน้ำเป็นสาเหตุของผมร่วง สมุนไพรเหล่านี้บางชนิดยังรวมถึงส่วนประกอบที่พบในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับการเจริญเติบโตของเส้นผม

มะยมสารสกัดจากมะยมซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีสูง ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยป้องกันศีรษะล้านและผมร่วงได้ ในการทำมาส์กสำหรับหนังศีรษะเพียงแค่ผสมน้ำมะยมกับน้ำมะนาวแล้วเจือจางด้วยน้ำ ผ่านไป 1 ชั่วโมง ล้างออกเพื่อเผยความเงางามของเส้นผมของคุณ!

การเยียวยาสำหรับผมร่วง Fenugreek เป็นส่วนผสมที่แพร่หลายในตู้ครัวส่วนใหญ่ และมีสารอาหารจำนวนหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของรูขุมขน ช่วยกระตุ้นการพัฒนาของเส้นผมและช่วยป้องกันผมร่วง เมล็ดฟีนูกรีกสามารถบดเป็นครีมพอกและทาบนผมด้วยวิธีง่ายๆ เพียงแค่สระผมด้วยน้ำเย็นในหนึ่งชั่วโมงต่อมา หากคุณยึดถือแนวทางปฏิบัตินี้เป็นเวลาสองสามสัปดาห์ คุณจะเห็นข้อดีที่เป็นประโยชน์

บีทรูท น้ำบีทรูทมีสารอาหารสูง เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ฟอสฟอรัส และวิตามิน B และ C ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสำคัญต่อสุขภาพผม ใบบีทรูทยังสามารถใช้ดูแลเส้นผมของคุณได้ เพื่อให้ได้ผมที่เรียบเนียนและนุ่มสลวย เพียงแค่ทุบใบและนวดน้ำผลไม้ให้หนังศีรษะของคุณ

น้ำหัวหอม ปริมาณกำมะถันสูงของน้ำหัวหอมช่วยให้เลือดไหลเวียนไปที่รูขุมขนบนหนังศีรษะ ซึ่งช่วยในการฟื้นฟูการเจริญเติบโตของรูขุมขนรวมทั้งลดการอักเสบ น้ำหัวหอมมีฤทธิ์ต้านรังแคเช่นกัน บดหัวหอมและทาน้ำผลไม้บนหนังศีรษะของคุณ หลังจากครึ่งชั่วโมง สระผมด้วยแชมพูนุ่มๆ เพื่อขจัดกลิ่นและรังแค

น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะพร้าวใช้กันอย่างแพร่หลายในอินเดียและเอเชีย แม้ว่าการใช้น้ำมันมะพร้าวในทุกสถานการณ์อาจใช้ไม่ได้ผล แต่ความจริงก็คือน้ำมันมะพร้าวมีองค์ประกอบและแร่ธาตุที่สำคัญที่พบในวิตามินสำหรับเส้นผม คุณอาจลองใส่หัวกะทิลงบนหนังศีรษะหลังจากเจือจางด้วยน้ำ แชมพูออกจากมาสก์หนังศีรษะในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทิ้งไว้ค้างคืน

น้ำมีผลย้อนกลับต่อเส้นผมและหากคุณทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง คุณอาจคาดหวังให้เส้นผมกลับมาเงางามดังเดิม อย่างไรก็ตาม หากปัญหาไม่ดีขึ้น คุณควรพิจารณาทางเลือกในการรักษาเพื่อจัดการกับสาเหตุต้นเหตุด้วยการรักษาศีรษะล้านที่เหมาะสมหรือการปรึกษากับแพทย์เฉพาะทาง

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย    เครื่องช่วยฟังขนาดเล็ก

bookmark_borderแมมโมแกรมกับอัลตราซาวด์เต้านมต่างกันอย่างไร

การถ่ายภาพเต้านมประเภททั่วไปเหล่านี้สามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมหรือภาวะเต้านมอื่น ๆ รู้ว่าพวกเขาสามารถบอกอะไรคุณได้

และเมื่อใดที่คุณต้องการ เมื่อเรานึกถึงสุขภาพเต้านม พวกเราส่วนใหญ่จะนึกถึงการตรวจแมมโมแกรม ปรากฎว่ามีการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการตรวจแมมโมแกรม 2 ประเภท และวิธีการอื่นทั้งหมดที่เรียกว่าอัลตราซาวนด์เต้านม ต้องการการคัดกรองเหล่านี้หรือไม่? การรู้ว่าจะคาดหวังอะไรจะทำให้กระบวนการราบรื่นขึ้นเล็กน้อย แมมโมแกรมคืออะไร แมมโมแกรมเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจหามะเร็งเต้านมหรือการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อเต้านม

การตรวจแมมโมแกรมมีสองประเภท การตรวจแมมโมแกรม ชนิดที่พบบ่อยที่สุด ผู้หญิงต้องการปีละ 1 ครั้งโดยเริ่มตั้งแต่อายุ 40 ปี

รูปภาพจะถูกส่งไปยังรังสีแพทย์เพื่อรายงานผลที่พบ โดยปกติภายในสองสามวัน แมมโมแกรมวินิจฉัย ทำเพื่อติดตามการตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรม ผลลัพธ์จะถูกอ่านแบบเรียลไทม์ ในระหว่างการตรวจแมมโมแกรม คุณจะต้องยืนนิ่งอยู่หน้าเครื่องเอกซเรย์เฉพาะทาง นักเทคโนโลยีจะวางหน้าอกข้างหนึ่งของคุณไว้บนจาน อีกแผ่นหนึ่งกดทับลงไป ทำให้เนื้อเยื่อมีความสม่ำเสมอมากขึ้น Gina Markle หัวหน้าทีมรังสีวิทยาของ Geisinger Healthplex Woodbine and Mobile Mammography กล่าวว่า “การบีบรัดช่วยให้เนื้อเยื่อเต้านมมีขนาดและความหนาเท่ากัน ทำให้ง่ายต่อการมองเห็นเนื้อเยื่อทั้งหมดเท่าๆ กัน” ในขณะที่เต้านมของคุณถูกบีบอัด นักเทคโนโลยีจะถ่ายภาพจากมุมต่างๆ จากนั้นพวกเขาจะทำขั้นตอนนี้ซ้ำกับเต้านมอีกข้างหนึ่ง ขั้นตอนนี้อาจรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย และเต้านมของคุณอาจนิ่มขึ้นในภายหลัง

หลังจากแน่ใจว่าภาพชัดเจนและไม่ต้องตกแต่งใหม่ เทคโนโลยีของคุณจะส่งภาพเหล่านั้นไปให้รังสีแพทย์ พวกเขาจะตรวจสอบรูปภาพและมองหาก้อนหรือมวล “ผลลัพธ์ที่ผิดปกติหรือสรุปไม่ได้อาจต้องมีการตรวจอย่างละเอียดมากขึ้น เช่น การตรวจแมมโมแกรมเพื่อการวินิจฉัยหรืออัลตราซาวนด์ของเต้านม” มาร์เคิลกล่าว

อัลตราซาวนด์เต้านมคืออะไร อัลตราซาวนด์เต้านมเป็นการทดสอบภาพเฉพาะที่ช่วยให้นักเทคโนโลยีสามารถมองเห็นภายในหน้าอกของคุณได้ Helene Derr หัวหน้าทีมอัลตราซาวนด์ของ Geisinger Medical Center กล่าวว่า “ไม่เหมือนกับการตรวจแมมโมแกรมซึ่งใช้ X-ray แต่อัลตราซาวนด์ใช้คลื่นเสียงเพื่อสร้างภาพเคลื่อนไหวของเนื้อเยื่อเต้านม ในระหว่างขั้นตอน นักเทคโนโลยีอัลตราซาวนด์จะใช้เจลกับไม้กายสิทธิ์ จากนั้นพวกเขาจะขยับไม้กายสิทธิ์ไปทั่วหน้าอกของคุณทีละข้างเพื่อจับภาพ

ผู้ให้บริการของคุณอาจแนะนำอัลตราซาวนด์เต้านมด้วยเหตุผลบางประการ เช่น การพิจารณาว่าก้อนเนื้อเป็นซีสต์หรือเป็นมวลที่เป็นไปได้ รับภาพที่ชัดเจนของเนื้อเยื่อเต้านมที่หนาแน่น ตรวจดูจุดที่แสดงว่าผิดปกติอย่างใกล้ชิดด้วยการตรวจแมมโมแกรม ทำการตรวจชิ้นเนื้อด้วยเข็ม คุณกำลังตั้งครรภ์หรืออายุน้อยกว่า 25 ปี หลังจากอัลตราซาวนด์แล้ว ภาพจะถูกส่งไปให้รังสีแพทย์ตรวจสอบและตีความหากนักรังสีวิทยาพบก้อนหรือมวลที่น่าสงสัย พวกเขาอาจแนะนำให้ตรวจชิ้นเนื้อ” Derr กล่าว

 

สนับสนุนโดย.    เครื่องช่วยฟังแบบชาร์จ

bookmark_borderความเชื่อมโยงที่น่าแปลกใจระหว่างเวลานอนกับภาวะสมองเสื่อม

โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของภาวะสมองเสื่อมทั่วไป เป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ความเชื่อมโยงที่น่าแปลกใจ ในสิบอันดับแรกของแหล่งที่เชื่อถือได้ในสหรัฐอเมริกา การวิจัยใหม่ระบุว่าเวลาที่ใช้อยู่บนเตียงและก่อนนอนอาจส่งผลต่อความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ผู้ที่มีอายุ 60-74 ปีได้รับผลกระทบมากที่สุด การวิจัยก่อนหน้านี้ยังเน้นถึงบทบาทของคุณภาพการนอนหลับในความจำและภาวะสมองเสื่อม

การนอนหลับสามารถส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตใจ และเชื่อมโยงกับสภาวะต่างๆ ตั้งแต่โรคหัวใจและหลอดเลือด ไปจนถึงภาวะซึมเศร้าและโรคอ้วน

และผลการศึกษาใหม่ที่เชื่อถือได้ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 กันยายนในวารสาร American Geriatrics Society ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของการนอนหลับในภาวะสมองเสื่อม นักวิจัยในจีน สวีเดน และสหราชอาณาจักรดูข้อมูลการนอนหลับของคนจีน 1,982 คนที่มีอายุเฉลี่ย 70 ปี โดยไม่มีใครแสดงอาการของโรคสมองเสื่อมในช่วงเริ่มต้นการศึกษา

โดยเฉลี่ย 3.7 ปีต่อมา ผู้เข้าร่วม 97 คน (5%) ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อมตามหลักเกณฑ์การวินิจฉัยและสถิติของความผิดปกติทางจิต ฉบับที่สี่ (DSM-IV) ผู้ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 60 ถึง 74 ปี ผู้ชายก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่นักวิจัยด้านภาวะสมองเสื่อมคนอื่นๆ

เคยพบมาก่อน “ในการศึกษาส่วนใหญ่ เป็นที่ทราบกันว่าผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า เป็นเรื่องผิดปกติที่การศึกษาครั้งนี้จะพบตรงกันข้าม” ดร. อเล็กซ์ ดิมิทรี ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการคู่ด้านจิตเวชศาสตร์และยานอนหลับ และผู้ก่อตั้ง Menlo Park Psychiatry & Sleep Medicine และ BrainfoodMD

ผลการวิจัยเผยว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ การศึกษาพบว่าการใช้เวลาอยู่บนเตียงนานขึ้น (TIB) มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คนที่นอนอยู่บนเตียงนานกว่า 8 ชั่วโมงมีแนวโน้มที่จะแสดงอาการเสื่อมถอยระหว่างการตรวจสภาพจิตแบบมินิ (MMSE)

ซึ่งเป็นการทดสอบที่ใช้ในการวัดความบกพร่องทางสติปัญญา เหตุใดผู้สูงอายุจึงอาจต้องใช้เวลาอยู่บนเตียงมากขึ้น ดร. Michael Breus ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับและนักจิตวิทยาคลินิกกล่าวว่า “เมื่อเราอายุมากขึ้น เราเห็นการแตกของสภาวะการนอนหลับ” ซึ่งหมายความว่า “เราดูเหมือนจะไม่ได้รับการนอนหลับแบบฟื้นฟูร่างกายแบบเดียวกัน เครื่องช่วยฟังยี่ห้อไหนดี(ระยะ 3/4) อย่างที่เราทำเมื่อเราอายุน้อยกว่า”

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปได้ที่ผู้ที่มีการนอนหลับที่มีคุณภาพต่ำอาจต้องใช้เวลานอนมากขึ้นเพื่อชดเชย Dimitriu กล่าวเสริม ปัจจัยอื่น ๆ สามารถมีบทบาทได้เช่นกัน Dr. Carl W. Bazil, PhD, Caitlin Tynan Doyle ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาที่ Columbia University College of Physicians and Surgeons อธิบาย อาการซึมเศร้า (ซึ่งผู้สูงอายุมีความเสี่ยงมากขึ้น) อาจทำให้นอนหลับยากขึ้น “แต่ยังมีเงื่อนไขทางการแพทย์อื่นๆ อีกมากมาย (เช่น โรคหัวใจหรือโรคเบาหวาน) และยาที่ใช้สำหรับพวกเขาที่เพิ่มความเหนื่อยล้าและความต้องการในการนอนหลับ” เวลาที่บุคคลเข้านอนยังถูกเน้นโดยนักวิจัยว่าเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ช่วงหัวค่ำถึงเย็นถือว่าเสี่ยงที่สุด รายงานวิจัยระบุว่า “ทุก ๆ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน [ก่อน 22.00 น.] สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น 25%” ผู้เขียนศึกษาตั้งสมมติฐานว่าเวลานอนก่อนหน้านี้อาจได้รับแรงผลักดันจากจังหวะการเต้นของหัวใจที่กระจัดกระจาย

“ส่วนต่างๆ ของสมองที่ทำหน้าที่จัดการการนอนหลับเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเราอายุมากขึ้น สิ่งนี้ส่งผลต่อวงจรจังหวะชีวิตของเรา” ดร.เดวิด ราบิน ปริญญาเอก นักประสาทวิทยา จิตแพทย์ที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการ และผู้ร่วมก่อตั้ง Apollo Neuro อุปกรณ์สวมใส่เพื่อบรรเทาความเครียดกล่าว ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น การต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นในช่วงกลางคืน ก็ “ส่งผลต่อการได้รับคุณภาพที่ดีและการนอนหลับสนิท” Rabin กล่าวต่อ การอดนอนสะสม “ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างสมองที่ควบคุมวงจรชีวิต” 

“เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมในระยะแรกจะมีอาการสมองล้าเร็วขึ้นในตอนกลางวัน ทำให้พวกเขาอยากนอนเร็วขึ้น” เขากล่าว “พระอาทิตย์ตกดิน” เป็นผลกระทบที่รู้จักกันดีในผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเป็นโรคสมองเสื่อม ซึ่งพวกเขาสามารถสับสนและสับสนในตอนเย็นได้”

bookmark_borderทำไมคุณมักจะกินสิ่งเดียวกันสำหรับอาหารเช้า

สำหรับคนจำนวนมาก อาหารเช้าซึ่งมักเรียกว่ามื้อสำคัญที่สุดของวันก็เป็นมื้อที่ตื่นเต้นน้อยที่สุดเช่นกัน

      การเลือก อาหารเช้า มักสะท้อนถึงความต้องการที่เป็นประโยชน์ อาหารที่อาหารเช้ามักจะเรียบง่าย รวดเร็ว และง่ายต่อการเตรียมและกิน และมีคุณค่าสำหรับการเพิ่มแคลอรี่ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายและสมองหลังจากพักผ่อนตลอดทั้งคืน และเมื่อผู้คนพบตัวเลือกอาหารเช้าที่พวกเขาชอบ พวกเขามักจะยึดติดกับมันทุกวัน นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ

      เมื่อเร็วๆ นี้นักวิจัยประเมินพฤติกรรมการกินในแต่ละวันของอาสาสมัครในสหรัฐฯ และฝรั่งเศสหลายพันคน พวกเขาเห็นว่าผู้คนรับประทานอาหารเช้าแบบเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมีความสุขที่ได้ทำเช่นนั้น เมื่อเปรียบเทียบกัน เมื่อคนเหล่านั้นนั่งรับประทานอาหารกลางวันหรืออาหารเย็น พวกเขาคาดหวังความหลากหลายมากขึ้นและต้องการประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจมากขึ้นจากมื้ออาหารของพวกเขา

      เหตุใดผู้คนจำนวนมากจึงพอใจกับการรับประทานอาหารเช้าแบบเดิมทุกเช้า นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่าแรงขับเคลื่อนทางจิตวิทยา ชีวภาพ และวัฒนธรรมกำหนดความคาดหวังของเราสำหรับมื้ออาหาร และปัจจัยเหล่านั้น และความกระตือรือร้นในการกินของเรานั้นแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาของวัน ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ร่างกายของเราดำเนินตามจังหวะชีวิต เกือบทุกรูปแบบของชีวิตเป็นไปตามวัฏจักร 24 ชั่วโมงเหล่านี้ ซึ่งควบคุมการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม ตัวอย่างเช่น ตารางการนอนหลับ

      โดยทั่วไปของมนุษย์เป็นไปตามจังหวะชีวิตที่เกี่ยวกับแสง เซลล์ประสาทนับหมื่นในสมองควบคุมนาฬิกาชีวภาพที่เรียกว่านาฬิกาชีวภาพนี้ เพื่อให้เรารู้สึกง่วงในเวลากลางคืนเมื่อมันมืดและตื่นตัวมากขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนกลางวัน ตามข้อมูลของสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วไปแห่งชาติ

      จังหวะการเต้นของหัวใจยังส่งผลต่อตารางการกินของเราด้วย และก่อนหน้านี้นักวิจัยคนอื่นๆ ก็ได้ตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างจังหวะชีวิตกับการเปลี่ยนแปลงของขนาดและความหลากหลายของอาหารที่ผู้คนกินตลอดทั้งวัน ตามผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Appetite ฉบับเดือนมกราคมปี 2022

      สำหรับการสืบสวนนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งคำถามว่าปัจจัยทางจิตวิทยาที่เชื่อมโยงกับจังหวะการเต้นของหัวใจอาจส่งผลต่อสิ่งที่ผู้คนกินเป็นอาหารเช้า กลางวัน และเย็นด้วยหรือไม่ คำถามเหล่านั้นยังสนใจนักวิจัยเพราะนิสัยการกินอาหารเช้าของพวกเขาเอง Romain Cadario ผู้ช่วยศาสตราจารย์ใน Rotterdam School of Management ที่ Erasmus University ในเนเธอร์แลนด์กล่าว

“ฉันเป็นคนฝรั่งเศส ฉันมักจะแสวงหาความหลากหลายในสิ่งที่ฉันกิน นี่คือสิ่งที่มีคุณค่าในสังคมการกินของฝรั่งเศส” Cadario กล่าว “ในขณะเดียวกัน ฉันกินอาหารเช้าแบบเดิมทุกวัน ดังนั้น ผู้เขียนร่วมของฉันและฉันจึงเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับรูปแบบพฤติกรรมนั้น”

      (อาหารเช้าทั่วไปของ Cadario คือกาแฟหนึ่งถ้วยและขนมปังปิ้งหนึ่งชิ้น เขาบอกกับ WordsSideKick.com ผู้ร่วมเขียนการศึกษา Carey Morewedge ศาสตราจารย์ใน Questrom School of Business ที่มหาวิทยาลัยบอสตันได้กินอาหารเช้าแบบเดียวกันในช่วงสองปีที่ผ่านมา: กาแฟ ขนมปังปิ้งกับเนยอัลมอนด์ “และอะโวคาโด ผักโขม ผงโปรตีน และกล้วยปั่น” เขาเขียนในนิตยสาร Time เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564)

 

สนับสนุนโดย.  เครื่องช่วยฟัง