bookmark_border3 ขั้นตอนใครอยากหน้าใสต้องไม่พลาด

ขั้นตอนใครอยากหน้าใส เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนมักที่จะมีปัญหาเกี่ยวกับการดูแลผิวหน้ากันอย่างแน่นอน เพราะการที่ผิวหน้าของเราแลดูสุขภาพดี สดใส เปล่งประกายก็ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตให้แก่เราได้ ดังนั้น ในปัจจุบันนี้ก็มีวิธีการมากมายหลายประเภทที่สามารถช่วยบำรุงผิวหน้าของเราให้ขาวกระจ่างใส หรือแลดูมีสุขภาพที่ดี

ซึ่งในแต่ละวิธีนั้นก็จะมีสรรพคุณที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วิธีธรรมชาติ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงการดูแลผิวหน้าด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ แต่รู้หรือไม่ว่าปัจจุบันนี้มีวิธีดูแลผิวหน้าวิธีง่าย ๆ ก็สามารถทำให้เรามีผิวหน้าที่ดูสดใส สุขภาพดีได้

และยังเป็นวิธีที่หลาย ๆ คนนั้นมักที่จะมองข้าม  เครื่องช่วยฟัง    เนื่องจากอาจคิดว่าเป็นวิธีที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ แต่รู้หรือไม่ว่า หากเราทำตามวิธีดังกล่าว ทำไปเรื่อย ๆ รับรองได้เลยว่าเราจะมีผิวหน้าที่เปล่งประกาย แลดูสดใสมากยิ่งขึ้น จนทำให้ผิวหน้าเป็นจุดเด่น และดุน่าสนใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ฉะนั้น วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีง่าย ๆ ในการดูแลผิวหน้าเพียงแค่ 3 ขั้นตอน จะมีอะไรกันบ้างนั้นไปดูกันเลย 

การเลือกทานอาหารที่มีวิตามินหรือเกลือแร่ รู้หรือไม่ว่าการที่เราเพิ่มสารอาหารที่มีประโยชน์ให้แก่ร่างกายอย่างวิตามิน หรือเกลือแร่ จะสามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกายได้ รวมไปถึงการช่วยในการเสริมสร้างการมีสุขภาพผิวที่ดีอย่างผิวหน้าของเราอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกทานอาหารตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีวิตามินซีสูงมาก ๆ หากทานแบบสด ๆ จะยิ่งช่วยบำรุงผิวของเราจากภายในสู่ภายนอกในสวยสดใส และดูมีสุภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ยิ่งถ้าใครอยากมีผิวหน้าที่สวยต้องไม่พลาดอย่างเด็ดขาด 

การเลือกทานแบคทีเรียชนิดดี หลายคนอาจจะมองว่าแบคทีเรียเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้อยู่ในร่างกาย แต่รู้หรือไม่ว่าแบคทีเรียชนิดดีเป็นสิ่งที่ร่างกายของเราขาดไม่ได้เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะช่วยทำให้ลำไส้ของเรานั้นเกิดการสมดุลแล้ว ยังสามารถช่วยให้ร่างกายของเรานั้นสามารถดูดซึมอาหารเพื่อไปเลี้ยงผิวพรรณได้ดีอีกด้วย ยิ่งถ้าเราเลือกทานเป็นประจำจะยิ่งทำให้ผิวของเราดูสุขภาดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 

การเลือกทานแร่ธาตุ แร่ธาตุก็นับเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมากเช่นกัน ยิ่งถ้าใครอยากดูแลสุขภาพผิวจากภายในสู่ภายนอกยิ่งต้องเลือกทาน เพราะถ้ายิ่งผิวเราไปเจอกับมลพิษ หรือมลภาวะต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายต่อผิว ยิ่งต้อเลือกทานแร่ธาตุเพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวให้แข็งแรง ดังนั้น การดูแลผิวที่ดีคือการเพิ่มสารอาหารดี ๆ ที่มีปะโยชน์ให้แก่ร่างกาย เพื่อสุขภาพผิวหน้าที่ดีจากภายในสู่ภายนอก

bookmark_borderโรคอ้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพสมองและชีวิต

ใครก็ตามที่น้ำหนักเกินไปสักสองสามปอนด์รู้ว่าพวกเขาสามารถทำให้คุณช้าลงได้ เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าปอนด์เหล่านั้นกลายเป็นโรคอ้วน พวกมันอาจทำอันตรายร้ายแรง ทำให้คุณเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยมากมาย แต่น้ำหนักที่มากเกินไปในร่างกายก็สามารถทำร้ายสมองได้เช่นกัน

การวิจัยแสดงให้เห็นว่าโรคอ้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพสมองตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่

โรคอ้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่งผลกระทบต่อทุกอย่างตั้งแต่ทักษะการทำงานของผู้บริหาร ความสามารถที่ซับซ้อนในการเริ่มต้น วางแผน และดำเนินงาน ไปจนถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมอย่างมาก เมื่อถึงวัยกลางคน ผลที่ตามมาของน้ำหนักเกินจะมีจำนวนมาก การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ใหญ่วัยกลางคนที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) ที่หรือสูงกว่า 30 ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นโรคอ้วน มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าเพื่อนที่มีน้ำหนักตัวปกติ

กระนั้น นักวิจัยยังคงล้อเลียนว่าทำไมและทำไมน้ำหนักที่เกินมาทำร้ายสมอง และความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมจะเพิ่มขึ้นตลอดชีวิตหรือไม่ หรือโรคอ้วนส่งผลต่อร่างกายในช่วงต่างๆ ของชีวิตที่แตกต่างกันหรือไม่ อเล็กซิส วูด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านโภชนาการในเด็กที่ศูนย์วิจัยโภชนาการสำหรับเด็กที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์เบย์เลอร์ในฮูสตัน กล่าวว่า ความท้าทายด้านความรู้ความเข้าใจอาจมาก่อนได้ ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่ไม่ดีตั้งแต่เด็ก ศูนย์ดำเนินการร่วมกับบริการวิจัยการเกษตรของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา

มีหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนและเป็นรูปเป็นร่างซึ่งครอบคลุมทั้งวัยเด็ก ตั้งแต่วัยเตาะแตะไปจนถึงวัยรุ่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถานะน้ำหนักที่สูงขึ้นนั้นสัมพันธ์กับการทำงานของความรู้ความเข้าใจที่ต่ำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านหน้าที่ของผู้บริหาร ทำไมถึงเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมาก

ด้วยโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกาเรื่องนี้จึงเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างมาก จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค พบว่าผู้ใหญ่มากกว่า 42% มีคุณสมบัติเป็นโรคอ้วนในปี 2561 และเกือบ 45% มีอายุ 40-59 ปี ในหมู่เด็กและวัยรุ่น อัตราโรคอ้วนเพิ่มขึ้นตามอายุ มากกว่า 13% ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี; 20% ของเด็กอายุ 6-11 ปี และ 21% ของเด็กอายุ 12 ถึง 19 ปี

และการระบาดใหญ่ไม่ได้ช่วยชะลอสถิติเหล่านั้น CDC กล่าวในเดือนกันยายน 2564 ว่าอัตราที่ดัชนีมวลกายเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่าในช่วงการระบาดใหญ่เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า การกระโดดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในเด็กอายุ 6-11 ปีและในเด็กที่มีน้ำหนักเกินก่อนเกิดโรคระบาด

การศึกษาบางชิ้นติดตามจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างอาหาร น้ำหนัก และสุขภาพสมองตลอดจนถึงมดลูก ในวัยหัดเดิน มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างน้ำหนักเกินกับความสามารถของเด็กในการควบคุมและควบคุมพฤติกรรม รวมข้อมูลใหม่ วางแผน; และแก้ปัญหาต่างๆ ได้ วู้ดกล่าว มันไม่ชัดเจนว่าอันไหนมาก่อน

 

สนับสนุนเน้ือหาโดย    เครื่องช่วยฟัง

bookmark_borderทำไมคุณมักจะกินสิ่งเดียวกันสำหรับอาหารเช้า

สำหรับคนจำนวนมาก อาหารเช้าซึ่งมักเรียกว่ามื้อสำคัญที่สุดของวันก็เป็นมื้อที่ตื่นเต้นน้อยที่สุดเช่นกัน

      การเลือก อาหารเช้า มักสะท้อนถึงความต้องการที่เป็นประโยชน์ อาหารที่อาหารเช้ามักจะเรียบง่าย รวดเร็ว และง่ายต่อการเตรียมและกิน และมีคุณค่าสำหรับการเพิ่มแคลอรี่ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายและสมองหลังจากพักผ่อนตลอดทั้งคืน และเมื่อผู้คนพบตัวเลือกอาหารเช้าที่พวกเขาชอบ พวกเขามักจะยึดติดกับมันทุกวัน นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ

      เมื่อเร็วๆ นี้นักวิจัยประเมินพฤติกรรมการกินในแต่ละวันของอาสาสมัครในสหรัฐฯ และฝรั่งเศสหลายพันคน พวกเขาเห็นว่าผู้คนรับประทานอาหารเช้าแบบเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมีความสุขที่ได้ทำเช่นนั้น เมื่อเปรียบเทียบกัน เมื่อคนเหล่านั้นนั่งรับประทานอาหารกลางวันหรืออาหารเย็น พวกเขาคาดหวังความหลากหลายมากขึ้นและต้องการประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจมากขึ้นจากมื้ออาหารของพวกเขา

      เหตุใดผู้คนจำนวนมากจึงพอใจกับการรับประทานอาหารเช้าแบบเดิมทุกเช้า นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่าแรงขับเคลื่อนทางจิตวิทยา ชีวภาพ และวัฒนธรรมกำหนดความคาดหวังของเราสำหรับมื้ออาหาร และปัจจัยเหล่านั้น และความกระตือรือร้นในการกินของเรานั้นแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาของวัน ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ร่างกายของเราดำเนินตามจังหวะชีวิต เกือบทุกรูปแบบของชีวิตเป็นไปตามวัฏจักร 24 ชั่วโมงเหล่านี้ ซึ่งควบคุมการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม ตัวอย่างเช่น ตารางการนอนหลับ

      โดยทั่วไปของมนุษย์เป็นไปตามจังหวะชีวิตที่เกี่ยวกับแสง เซลล์ประสาทนับหมื่นในสมองควบคุมนาฬิกาชีวภาพที่เรียกว่านาฬิกาชีวภาพนี้ เพื่อให้เรารู้สึกง่วงในเวลากลางคืนเมื่อมันมืดและตื่นตัวมากขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนกลางวัน ตามข้อมูลของสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วไปแห่งชาติ

      จังหวะการเต้นของหัวใจยังส่งผลต่อตารางการกินของเราด้วย และก่อนหน้านี้นักวิจัยคนอื่นๆ ก็ได้ตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างจังหวะชีวิตกับการเปลี่ยนแปลงของขนาดและความหลากหลายของอาหารที่ผู้คนกินตลอดทั้งวัน ตามผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Appetite ฉบับเดือนมกราคมปี 2022

      สำหรับการสืบสวนนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งคำถามว่าปัจจัยทางจิตวิทยาที่เชื่อมโยงกับจังหวะการเต้นของหัวใจอาจส่งผลต่อสิ่งที่ผู้คนกินเป็นอาหารเช้า กลางวัน และเย็นด้วยหรือไม่ คำถามเหล่านั้นยังสนใจนักวิจัยเพราะนิสัยการกินอาหารเช้าของพวกเขาเอง Romain Cadario ผู้ช่วยศาสตราจารย์ใน Rotterdam School of Management ที่ Erasmus University ในเนเธอร์แลนด์กล่าว

“ฉันเป็นคนฝรั่งเศส ฉันมักจะแสวงหาความหลากหลายในสิ่งที่ฉันกิน นี่คือสิ่งที่มีคุณค่าในสังคมการกินของฝรั่งเศส” Cadario กล่าว “ในขณะเดียวกัน ฉันกินอาหารเช้าแบบเดิมทุกวัน ดังนั้น ผู้เขียนร่วมของฉันและฉันจึงเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับรูปแบบพฤติกรรมนั้น”

      (อาหารเช้าทั่วไปของ Cadario คือกาแฟหนึ่งถ้วยและขนมปังปิ้งหนึ่งชิ้น เขาบอกกับ WordsSideKick.com ผู้ร่วมเขียนการศึกษา Carey Morewedge ศาสตราจารย์ใน Questrom School of Business ที่มหาวิทยาลัยบอสตันได้กินอาหารเช้าแบบเดียวกันในช่วงสองปีที่ผ่านมา: กาแฟ ขนมปังปิ้งกับเนยอัลมอนด์ “และอะโวคาโด ผักโขม ผงโปรตีน และกล้วยปั่น” เขาเขียนในนิตยสาร Time เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564)

 

สนับสนุนโดย.  เครื่องช่วยฟัง

bookmark_borderโรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายหรือสารก่อภูแพ้จากสิ่งแวดล้อมซึ่งตามปกติสารเหล่านี้จะไม่มีผลอันตรายต่อผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ  ซึ่งในทางที่กลับกันนั้นผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้นั้นจะไวต่อฝุ่น  เชื้อราในอากาศ แพ้เกสรดอกไม้  หรือแม้แต่อาหารที่เรานั้นรับประทานเป็นประจำ  โดยโรคนี้นั้นเป็นโรคที่พบบ่อยมากที่สุดในบ้านเราที่เรานั้นพบปัญหาโรคนี้

โรคภูมิแพ้นั้นเกิดขึ้นจากอะไร  เกิดจากคนในครอบครัวนั้นเป็นภูมิแพ้ 2 ใน 4 คนนั่นหมายความว่า อัตราเสี่ยงของรุ่นต่อไป แล้วเหมือนกับว่าพ่อแม่เป็นก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูง  

สิ่งแวดล้อม ที่อยู่รอบๆตัวเรานั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นภูมิแพ้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการหายใจหรือว่ารับประทานอาหารการที่เรานั้นทำงานบ้านเรานั้นก็ต้องเจอสิ่งเหล่านี้หรือว่าออกนอกบ้านก็ต้องเจอสิ่งเหล่านี้  หรือว่าจะเป็นขนแมว หรือว่าขนสุนัก นั้นก็ล้วนทำให้เป็นสาเหตุของอาการภูมิแพ้ได้ทั้งนั้น 

บางครั้งก็เกิดจากอาหารให้ลองสังเกตอาหารที่เรานั้นกินว่าแพ้อะไรเพราะบางคนนั้นก็แพ้อาหารทะเลกินเข้าไปแล้วสักพักจะเกิดผื่นแดงคันหรือลมพิษนั่นเองและนอกจากอย่างอื่นที่ทำให้ภูมิแพ้แล้วยังมีปัจจัยอย่างอื่นที่ทำให้มีอาการกำเริบเช่น  อากาศที่หนาวเย็นจนเกินไปอากาศที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันนั้นก็ทำให้มีความเครียด 

อาการของภูมิแพ้นั้นเริ่มจากการสัมผัสกับสารที่ภูมิแพ้เมื่อเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะเป็นการสูดดม หรือว่าการสัมผัสกับผิวหนังหรือว่ากินอาหารเข้าไป  ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะตอบสนอง

สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ หลังจากที่คนไทยนั้นส่วนมากมีสาเหตุที่จากการแพ้ฝุ่น ส่วนมากจะแพ้ฝุ่นที่อยู่ในบ้านอันอันดับแรก รองลงมาคือแพ้เกสรดอกไม้  และขนสัตว์ นอกจากนี้อาการของภูแพ้นั้นยังสามารถที่จะเพิ่มขึ้นรุ่นแรงได้อีก ถ้าคนที่ป่วยนั้นได้รับการกระตุ้นจาก ควันบุหรี่ หรือว่าอะไรที่มีกลิ่นเหม็นฉุนต่าง  ดังนั้นเพื่อที่ให้รู้แน่ชัดว่าแพ้อะไร ให้ลองผู้ที่ป่วยนั้นลงทดสอบสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้กับผิวหนัง เพื่อที่เรานั้นจะได้หลีกเลี่ยงการที่เรานั้นต้องสัมผัสกับสารดังกล่าว

ไรฝุ่น เรานั้นควรจัดห้องให้โล่ง ไม่วางของจำพวกตุ๊กตา หรือพรม ไว้ในห้องนอน หรือถ้ามีเราควรที่จะซักบ่อยๆเพราะที่เรานั้นกล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นที่ให้เกิดฝุ่นอย่างมาก    และหมั่นซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม อย่างเป็นประจำ หรือว่าอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง   และเมื่อเรานั้นลุกจากที่นอนนั้นเราควรที่จะหาผ้าที่เป็นใยสังเคราะห์มาคลุมที่นอนเรานั้นเพื่อไม่ให้ฝุ่นละอองนั้นลอดผ่านมาได้

 

สนับสนุนโดย  เครื่องช่วยฟัง

bookmark_borderสัญญาณอันตรายจากหู

สัญญาณอันตรายจากหู ได้ยินเสียงแบบนี้ต้องไปหาหมอ หูเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายเพราะใช้ในการสื่อสาร ถ้าหูเกิดไม่ได้ยินก็จะมีกระทบต่อการสื่อสาร ทำให้การสื่อสารลดลง เรามาเช็คกันดูว่าหูของคุณมีอาการแบบนี้หรือไม่ 

1.ได้ยินเสียงตุๆ เหมือนเสียงหัวใจเต้นในหู 

2.ได้ยินเสียงจี๊ดๆ เหมือนจิ้งหลีดร้องในหู 

3.หูดับฉับพลัน

4. ได้ยินเสียงคนพูดกันในหูโดยไม่มีคนอยู่ อาการทั้งหมดนี้คือ 4 สัญญาณอันตรายจากหูที่เป็นแล้วควรไปพบแพทย์ มาดูกันว่าทำไมไม่ควรเพิกเฉยกับ 4 สัญญาณดังกล่าวนี้  

-ได้ยินเสียงตุบๆ เหมือนเสียงหัวใจเต้นแต่ดังอยู่ในหู ให้ระวังความดัน ให้ลองวัดความดันว่าเกิน 180 หรือไม่ ถ้าความดันปกติแต่เสียงตุบๆยังไม่หายไป หรือดังขึ้นเรื่อย ๆ ควรจะตรวจดูความดันในหูชั้นกลาง ถ้าความดันในหูชั้นกลางสูงก็ต้องอาจทำซีทีสแกนสมองเพราะสงสัยว่าอาจจะเป็นเนื้องอกบางชนิด 

-ได้ยินเสียงจี๊ดๆ เหมือนจิ้งหลีดร้องในหู ถ้าได้ยินเสียงแบบนี้แล้วมีอาการเวียนหัว บ้านหมุน หูอื้อ ได้ยินเสียงเบาลงร่วมด้วย ให้ระวังโรคเส้นประสาทหูเสื่อม ซึ่งโรคประสาทหูเสื่อมนี้เป็นโรคที่คนเป็นกันเยอะ อายุ 30 ต้นๆ ก็เป็นกันได้ ไม่ใช่เป็นในเฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น พบบ่อยกับผู้ที่เครียดจัดและรับประทานอาหารรสเค็มจัด 

-ไม่ได้ยินเสียงฉันพลัน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วหูดับหรืออื้อไปเลย ให้ระวังแก้วหูทะลุหรือมีอะไรอุดอยุ่ในรูหู 

-ได้ยินเสียงคนพูดกันในหู โดยที่รอบ ๆตัวไม่มีใครอยู่เลย ถ้าได้ยินเสียงคนคุยกันในหูอย่างชัดเจน หรือบางครั้งมีคนมาชวนเราคุยด้วย เป็นสัญญาณเริ่มต้นของคนไข้จิตเพศ 

ดังนั้นเมื่อเราพบเจอ 4 สัญญาณดังกล่าวนี้ให้รีบพบแพทย์ เพราะหูได้ส่งสัญญาณเตือนมาแล้วว่ามีอะไรที่ผิดปกติไป 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เครื่องช่วยฟัง

bookmark_borderกลุ่มคนที่เสี่ยงอย่างมากที่จะต้องใช้เครื่องช่วยฟัง

ในปัจจุบันโลกของเรามีมลพิษทางเสียงเยอะขึ้นจากในสมัยก่อนมาก หากเปรียบเทียบกันแล้ว ยิ่งโลกมีวิวัฒนาการมากขึ้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น

เราในฐานะประชาชนพลเมืองก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายที่จะมาจากการพัฒนาการเหล่านี้ได้เหมือนกัน มีหลายสถานการณ์ที่หากเราเข้าไปอยู่ในบริเวณนั้นแล้ว อาจทำให้เรามีปัญหาด้านการได้ยินซึ่งถ้ายังต้องอยู่หรือได้ยินเสียงแบบนั้นเป็นประจำอาจทำให้เรามีอาการหูหนวกและจำเป็นต้องใส่ เครื่องช่วยฟัง เพื่อให้เราได้ยินได้

สำหรับกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงที่จะต้องใช้เครื่องช่วยฟังคือ

กลุ่มคนที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ต้องใช้เสียงดัง เช่น โรงงานหลอมเหล็ก โรงงานที่ต้องใช้เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ โรงงานเกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งโรงงานที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนน้อยที่เรานำมายกตัวอย่าง ยังมีอีกหลายโรงงานที่พนักงานต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับเสียงที่ดังซึ่งจะส่งผลให้หูได้รับการบาดเจ็บภายในและอาจส่งผลต่อการได้ยินได้

กลุ่มพนักงาน Call Center ที่ทำหน้าที่รับโทรศัพท์ พนักงานกลุ่มนี้แม้ว่าจะไม่ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่มีเสียงดัง แต่การที่ต้องฟังเสียงนานๆก็มีผลต่อการได้ยินได้ ซึ่งหากพนักงานคนไหนยิ่งไปเพิ่มเสียงในสายให้ดังขึ้นก็จะมีผลต่อระบบหูภายในได้เร็วขึ้น เพราะการฟังเสียงดังนานๆ ถึงแม้เสียงจะไม่ได้ดังเท่ากับกลุ่มที่ทำงานโรงงานแต่เมื่อระบบภายในหูต้องใช้งานอย่างหนักในการฟังเป็นเวลานานทั้งวันเป็นเวลาหลายปี ระบบภายในหูก็อาจได้รับความเสียหาย ส่งผลต่อการได้ยินได้

กลุ่มคนที่ต้องทำงานตามงานเทศกาลต่างๆ เช่น พวกนางรำ หรือกลุ่มคนที่ต้องเล่นดนตรีในงาน คนพวกนี้มักจะต้องอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังอยู่ตลอดเวลา ยิ่งหากใครที่ต้องทำหน้าที่อยู่ใกล้กับลำโพงจะยิ่งมีความเสี่ยงต่อระบบหูมีปัญหาเรื่องการได้ยินเป็นอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่ในงานรื่นเริงเจ้าภาพมักต้องการเปิดเพลงเสียงดัง ดนตรีดังๆ เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพของเครื่องเสียงในงานว่าเยี่ยมยอดแค่ไหน

พระที่วัดก็สุ่มเสี่ยงต่อการต้องใช้เครื่องช่วยฟังเหมือนกัน เพราะบางวัดจะมีการจัดให้มีจุดกราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์ วัดไหนที่ไปขอแล้วคนขอสมหวังดังที่ขอไว้ก็จะมีการมาแก้บนและการแก้บนส่วนใหญ่ก็จะมีทั้งการเล่นดนตรี การจุดประทัดแก้บน ซึ่งเสียงที่ดังเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการได้ยินของหูทั้งสิ้น หากยืนอยู่ใกล้ตรงที่เขาจุดประทัดอาจมีอาการหูอื้อและนานไปอาจจะไม่ได้ยินเสียง จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยฟังได้